สุดยอด!
เถาวัลย์เปรียง บรรเทาปวดเมื่อย เส้นเอ็นพิการ
เถาวัลย์เปรียง บรรเทาปวดเมื่อย เส้นเอ็นพิการ
ชื่อเครื่องยา : เถาวัลย์เปรียง
ชื่ออื่นๆของเครื่องยา : เถาวัลย์เปรียงขาว
ได้จาก : เถา
ชื่อพืชที่ให้เครื่องยา : เถาวัลย์เปรียง
ชื่ออื่น (ของพืชที่ให้เครื่องยา) : เครือเขาหนัง เถาตาปลา เครือตาปลา (นครราชสีมา) ย่านเหมาะ
(นครศรีธรรมราช) พานไสน (ชุมพร) เครือตับปลา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Derris scandens (Roxb.)
Benth
ชื่อพ้อง :
ชื่อวงศ์ : Papilionaceae
ลักษณะภายนอกของเครื่องยา:
เถาแก่เป็นไม้เนื้อแข็ง
เปลือกนอกสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลแกมสีเทา เปลือกเถาอาจมีร่องหรือคลื่นตามยาว
มีช่องอากาศกระจายอยู่ทั่วไป เถาเหนียว เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้สีออกน้ำตาลอ่อน ๆ
เห็นรอยวงปีไม่ชัดเจน เนื้อไม้มีรูพรุนตรงกลาง รสเฝื่อน เอียน
ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี:
ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน
8%, ปริมาณเถ้าที่ละลายในกรด ไม่เกิน 1%, ปริมาณความชื้น
ไม่เกิน 7%,
ปริมาณสารสกัดด้วยน้ำ ไม่ต่ำกว่า 14%, ปริมาณสารสกัดด้วย 50% เอทานอล ไม่ต่ำกว่า 14%, ปริมาณสารสกัดด้วย 95% เอทานอล ไม่ต่ำกว่า 6%, ดัชนีการเกิดฟองไม่น้อยกว่า 200
สรรพคุณ:
ตำรายาพื้นบ้าน:
ใช้เถา ขับปัสสาวะ แก้บิด แก้หวัด ใช้เถาคั่วไฟให้หอมชงน้ำกินแก้ปวดเมื่อย
แก้เส้นเอ็นพิการ แก้เมื่อยขบในร่างกาย แก้กระษัยเหน็บชา ต้มรับประทานถ่ายเส้น
ถ่ายกระษัย แก้เส้นเอ็นขอด ถ่ายเสมหะ ไม่ถ่ายอุจจาระ เหมาะที่จะใช้ในโรคบิด ไอ
หวัด ใช้ในเด็กได้ดี แก้ปวด แก้ไข้ ทำให้เส้นเอ็นอ่อนลง ขับปัสสาวะ
แก้ปัสสาวะพิการ บางตำรากล่าวว่าทำให้มีกำลังดีแข็งแรงสู้ไม่ถอย
เป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ในสูตรยาอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โดยใช้เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมจากสูตรยาอบสมุนไพรหลัก
เมื่อต้องการอบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว เป็นต้น
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
บัญชียาหลักแห่งชาติ
บัญชียาจากสมุนไพร 2556
ยาพัฒนาจากสมุนไพร
กลุ่มยารักษากลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ระบุรูปแบบและขนาดวิธีใช้ยาดังนี้
1. บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ
ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ผงจากเถาของเถาวัลย์เปรียง รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง
หลังอาหารทันที
2. บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง และอาการปวดจากข้อเข้าเสื่อม
สารสกัดจากเถาด้วย 50%
เอทานอล รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารทันที
3. ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
คำเตือน : ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยแผลเพปกติ เนื่องจากเถาวัลย์เปรียงออกฤทธิ์คล้ายยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ จึงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหารได้
อาการไม่พึงประสงค์ : ปวดท้อง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง ใจสั่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
อุจจาระเหลว
องค์ประกอบทางเคมี:
สารกลุ่ม isoflavone glycoside ได้แก่ eturunagarone,
4,4’-di-O-methylscandenin, lupinisol A,
5,7,4’-trihydroxy-6,8-diprenylisoflavone,
5,7,4’-trihydroxy-6,3’-diprenylisoflavone, erysenegalensein E, derrisisoflavone
A-F, scandinone, lupiniisoflavone G, lupalbigenin, derrisscandenoside A-E,
7,8-dihydroxy-4’-methoxy isoflavone, 8-hydroxy-4’,7-dimethoxy
isoflavone-8-O-b-glucopyranoside, 7-hydroxy-4’,8-dimethoxy
isoflavone-7-O-beta-glucopyranoside, formononetin-7-O-beta-glucopyranoside,
diadzein-7-O-[α-rhamnopyranosyl-(1,6)]-beta-glucopyranoside,
formononetin-7-O-α- rhamnopyranosyl-(1,6)]-beta-glucopyranoside,
derrisscanosides A-B, genistein-7-O-[α-
rhamnopyranosyl-(1,6)]-beta-glucopyranoside
สารกลุ่มคูมาริน ได้แก่ 3-aryl-4-hydroxycoumarins
สารกลุ่มสเตียรอยด์ได้แก่ lupeol, taraxerol,
b-sitosterol สารอื่นๆ เช่น 4-hydroxy-3-methoxy
benzoic acid, 4-hydroxy-3,5-dimethoxy benzoic acid
การศึกษาทางเภสัชวิทยา:
สารสกัดน้ำจากเถามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
(ยับยั้งการสร้าง leukotriene
B, ลดการหลั่ง myeloperoxide, ลดการสร้าง eicosanoid),
ลดการอักเสบที่อุ้งเท้าหนู, สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ,สารสกัดบิวทานอล
และสารประกอบประเภท rhamnosyl-(1,6)-glucosylisoflavone
มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต, สารสกัดด้วย 50%
เอทานอล มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน, ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์, ฤทธิ์ต้านเชื้อรา
การศึกษาทางคลินิก:
บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง การเปรียบเทียบสรรพคุณของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงกับยาไดโคลฟีแนค
ในการเป็นยาบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง พบว่าเมื่อให้ผู้ป่วย
รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงบรรจุแคปซูลขนาด 200 มก. วันละ 3
ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
เปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไดโคลฟีแนคขนาด 25 มก. วันละ 3
ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
ผลพบว่าสารสกัดเถาวัลย์เปรียงสามารถลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ไม่แตกต่างจากการใช้ยาไดโคลฟีแนค
กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย การศึกษาประสิทธิผลของเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี
เมื่อได้รับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียงทีสกัดด้วย 50% เอทานอล ขนาดวันละ 400 มก. นาน 2 เดือน
ไม่พบความผิดปกติของระบบต่างๆของร่างกาย และพบว่าสารสกัดเพิ่มการหลั่งของ IL-2 และ gamma–IFN
แสดงว่าสารสกัดมีฤทธิ์เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
การศึกษาทางพิษวิทยา:
-เถามีสารที่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพศหญิง
จึงควรระวังถ้าจะรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
-การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดลำต้นด้วยเอทานอล
50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 6,250 เท่า
เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
-การศึกษาพิษเรื้อรัง (6 เดือน) ของสารสกัดด้วย 50%เอทานอล ในหนู โดยให้สารสกัด
เทียบเท่ากับผงเถาวัลย์เปรียงแห้ง คิดเป็น 100 เท่าของขนาดที่ใช้กับคนต่อวัน
พบว่าไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยา ชีวเคมีของเซรั่ม
จุลพยาธิของอวัยวะภายใน และไม่พบความผิดปกติใด ๆ
.............................................................................................................................
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
หมายเหตุ* ข้อมูลนี้ใช้ในการเผยแพร่ความรู้
ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยของแพทย์ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น